ลูกชายโรงน้ำแข็ง จ.นนทบุรี ยอมเป็นลูกทรพี แฉพ่อพ่วงไฟหลวงมาใช้ฟรีๆ เตือนไม่ฟัง

นายเอก (นามสมมติ) อายุ 39 ปี อดีตผู้จัดการโรงงานน้ำแข็งแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี เปิดเผยกับสื่อ แฉพ่อบังเกิดเกล้าที่เป็นเจ้าของโรงงานน้ำแข็ง แอบพ่วงไฟหลวงมาใช้ฟรีๆ โดยยอมโดนด่าว่าเป็นลูกทรพี ดีกว่าต้องยอมติดคุก โดยเล่าว่า ตนเป็นลูกชายคนโตของเจ้าของโรงงานน้ำแข็งชื่อดังใน จ.นนทบุรี เคยทำหน้าที่เป็นผู้จัดการโรงงานน้ำแข็งมานานหลายปี แต่มาเจอเหตุที่ทำให้ตัดสินใจลาออกจากโรงงาน เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 65 หลังจากตนได้รู้ความจริงว่า โรงน้ำแข็งของพ่อ ลักลอบพ่วงไฟฟ้ามาใช้ในการผลิตน้ำแข็ง หลังรู้เรื่องได้เตือนให้พ่อหยุดการกระทำ แต่พ่อกลับอ้างว่าไม่ได้ทำ

เมื่อตนนำค่าไฟฟ้าย้อนหลังในแต่ละปีมาตรวจสอบดูก็พบความผิดปกติ จากที่เคยจ่ายเดือนละเกือบ 4 แสนบาท กลับเหลืออยู่เพียง 2 แสนกว่าบาท ทำให้ตนตัดสินใจขอลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการโรงน้ำแข็ง ด้วยเกรงว่าวันหนึ่งหากทางโรงงานน้ำแข็งของพ่อ ถูกร้องเรียนตรวจสอบ ตนจะถูกดำเนินคดีจนต้องติดคุก

โดยก่อนหน้านี้ โรงน้ำแข็งของพ่อเคยถูกตรวจสอบ เจ้าหน้าที่บุกตรวจค้นแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายมาแล้ว ครั้งนั้นตนต้องขึ้นศาลไปถูกพิจารณาในฐานะผู้จัดการโรงงาน ศาลยังได้ตักเตือนตนเอาไว้ว่า อย่าไปมีส่วนรวมในความผิดทำนองนี้อีก

นายเอก กล่าวว่า เมื่อรู้ว่ามีความผิดแล้วแต่ไม่ทักทวงหรือห้ามปรามก็เท่ากับรู้เห็นเป็นใจให้กระทำการนั้นไปด้วย จึงเป็นเหตุที่ทำให้ตนตัดสินใจเดินเข้าไปบอกกับพ่อ เจ้าของโรงงานน้ำแข็งว่า ขอลาออกจากการเป็นผู้จัดการโรงงาน แล้วช่วยเอาชื่อตนออกจากโรงงานไปด้วย ตนไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับโรงงานแห่งนี้อีกต่อไป ส่วนตนจะเปลี่ยนชื่อแล้วกลับไปใช้นามสกุลของแม่แทน

ส่วนเรื่องมรดกในอนาคตนั้น ตนไม่คาดหวังอยู่แล้ว ยอมรับในสิ่งที่ตัดสินใจลงไป และยอมให้พ่อตัดชื่อออกจากกองมรดก ยังดีกว่าที่ตนได้รับมรดกมาแล้วต้องมาติดคุกแทน โดยที่ไม่ได้ใช้เงิน แบบนั้นตนยอมถูกตัดชื่อไม่มีอะไรดีกว่า มีแรงมีลมหายใจก็สร้างด้วยตัวเองได้

หลังจากตนลาออกจากโรงงานมาได้ปีกว่า ๆ ตนได้นำพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่โรงงานแอบพ่วงไฟฟ้าหลวงมาใช้ในการผลิตน้ำแข็งส่งไปให้ทางการไฟฟ้ารับทราบข้อมูลเพื่อทำการตรวจสอบ แต่ปรากฏว่าเรื่องไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย แถมยังมีคนจากการไฟฟ้า แอบนำเอาเรื่องร้องเรียนไปบอกกับพ่อของตน ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่การไฟฟ้ามาลงตรวจสอบในโรงงาน ทำให้พ่อไหวตัวทัน ส่งลูกน้องมาแก้ไข เอาสายไฟฟ้าที่พ่วงออกไป และมีการพูดคุยตกลงกันกับเจ้าหน้าที่ไฟฟ้าในภายหลังว่า เกิดจากปัญหาอุปกรณ์ชำรุด จึงทำให้ตนข้องใจเกี่ยวกับระบบการทำงานของเจ้าหน้าที่ไฟฟ้าในพื้นที่ว่า รู้เห็นเป็นใจกับทางโรงงานปล่อยปะให้มีการลักลอบเกี่ยวไฟฟ้าหลวงมาใช้ในโรงงานแห่งนี้หรือไม่

ตนร้องเรียนพร้อมกับส่งพยานหลักฐานให้ทั้งหมดแล้วแต่เรื่องก็เงียบเหมือนไม่มีการกระทำผิดเกิดขึ้นเลย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าตนต้องการร้องเรียนให้ตรวจสอบเงียบ ๆ เท่านั้น แต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบชี้แจงใด ๆ ตนจึงจำเป็นต้องร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวแทน แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นการร้องเรียนพ่อของตนเองแท้ ๆ ก็ตาม

ซึ่งตนคิดว่า ใครทำผิดคน ๆ นั้นก็ต้องรับกรรมที่ทำไว้ ไปให้ลูกหรือคนอื่นมารับกรรมแทนไม่ได้ และคนเราเมื่อทำผิดมาแล้วก็ไม่ควรจะทำผิดอีกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อพ่อกระทำผิดก็ต้องรับผลกรรมที่ทำนั้นด้วย

ไม่รู้ว่าปัจจุบันโรงงานแห่งนี้ของพ่อเลิกแอบพ่วงไฟฟ้าหลวงมาใช้อีกหรือไม่ เพราะตนได้ท้วงติงก่อนจะขอลาออกไปแล้วว่า ขอให้พ่อหยุดการกระทำแบบนี้ แม้จะถูกพ่อด่ากลับมาว่าไอ้ลูกทรพีก็ตาม แต่ตนก็ยังรู้สึกสบายใจมากกว่าที่ลาออกมาทำงานหากินแบบสุจริต ดีกว่าไปมีตำแหน่งแล้วนั่งรอว่าวันหนึ่งวันใดตนจะต้องติดคุกอีกครั้งเพราะพ่อ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *